Skip navigation

Monthly Archives: November 2006

ฮ้า…..ได้เวลาคุยกับตัวหนังสืออีกครั้งหนึ่งแล้ว…อืม ผมรู้สึกถึงลูกโป่งที่มันยังอยู่ภายในตัวผมอยู่  ลูกโป่งลูกนี้บางทีมันก็ใหญ่ขึ้น บางทีมันก็เล็กลงสลับกันไป
ผมพยายามที่จะลืมว่าลูกโป่งลูกนี้มันยังอยู่ หรือพยายามที่เอาลูกโป่งลูกนี้ออกไป  แต่ทุกวันนี้มันก็ยังรักษากฏข้อ1สถานะของสสารได้เป็นอย่างดี 
…..แล้วผมก็ได้รับคำตอบจากการที่ผมได้เรียนวันนี้ว่า  "สมองของมนุษย์ไม่มีวันลืม"  เป็นคำที่ Sigmund freud กล่าวไว้ เขาบอกว่า การที่เราบอกว่าเราลืมนั้น
…..เป็นเพราะว่า เราเลือกที่จะจำ แต่เราไม่ลืม  หลายคนที่เรียนทางด้านศิลปะคงจะรู้จักนักจิตวิทยาท่านนี้ดี 
…..ไม่รู้ใครจะเป็นเหมือนผมหรือเปล่า  ผมชอบที่จะจำในสิ่งดี ๆ สิ่งไม่ดีไม่อยากจำ พิมพ์ไปก็คิดถึงอยู่เพลงหนึ่ง มีคนเคยร้องให้ผมฟัง (เห็นมะผมเลือกที่จะจำแล้วว..) 
……คิดดูแล้ว  สิ่งไม่ดีนี่มันไม่ดีสมชื่อจริง ๆ เลย ทำให้รู้สึกไม่ดีแล้วยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปอีก
…..ผมคิดวิธีจัดการลูกโป่งลูกนี้ได้แล้วหละ…..ในเมื่อสมองมนุษย์เราไม่มีวันลืม ผมก็จะเลือกที่จะจำได้ ถูกต้อง!!!!
…..ความทรงจำที่ดีผมว่ายิ่งนึกก็ยิ่งมีความสุขออก  มีใครว่าจริงมั้ย….
 
 
         ผมต้องขอขอบคุณ อ.หนุ่ม ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ ครับ..                                            เอ……ว่าแต่มีใครเห็นลูกโป่งของผมไหม…เมื่อกี้มันยังอยู่อยู่เลย 
 
 
เฮ้ออ…ผมต้องถอนหายใจอีกสักกี่ครั้ง  ถึงจะพอทำให้อะไรที่มันจุกอยู่ในอกได้ออกมาให้หมดเสียที  ผมรู้สึกมีลูกโป่ง ลูกใหญ่พอที่จะเข้ามาในปอดผมได้
มันเข้ามาแย่งอากาศผมในเวลาหายใจ  ไม่รู้ว่าใครจะรู้สึกเหมือนผมหรือปล่าว….
    อืม วันนี้ผมขอคุยกะตัวหนังสืออีกครั้ง และก็คงจะมีอีกหลาย ๆ ครั้ง ถึงแม้ว่าไอ้ลูกโป่งที่มันอยู่ข้างในตัวผมเนี้ยมันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นหรือมันจะแตกไปก็ตาม…
    ที่ผมเปรียบเทียบว่ามันเป็นลูกโป่งเนี้ย ผมคิดว่ามันมีคุณสมบัติเหมือนลูกโป่ง จริง ๆ ลองคิดดูเอาละครับ ว่าเพราะอะไร 
    ผมคิดว่าหลาย ๆ คนก็ต้องเคยมีลูกโป่งแบบผมเหมือนกันแต่จะสีอะไร ยี่ห้อแบบไหน ก็คงจะต่าง ๆ กันไป ใคร มีไอเดียก็ลองตอบมาหน่อยก็ได้..
    ผมเชื่อว่าคนที่มาอ่านในสเปชของผมมีความคิดดี ๆ กันทั้งนั้น เอาขบ หรือเอาขัน ก็ตามสะดวกเลยครับ…
 
     มีคนเคยบอกผมว่า  เซลล์ผิวของคนเราจะเปลี่ยนไปทุก ๆ 5-7 ปี เซลล์ผิวเก่าก็จะค่อย ๆ สลายไป เซลล์ผิวใหม่ก็จะเกิดขึ้นมา อย่างที่เราไม่รู้สึกตัวเลย..
     หรือจะพูดอย่างง่าย ๆ มันเหมือนกับเราจะเกิดใหม่ ทุก ๆ 5-7 ปี นั่นเอง ผมคิดว่า มันจึงไม่แปลกอะไรกับความคิดของคน ที่เมื่อเวลาผ่านไปความคิดจะไม่เหมือนแต่ก่อน
     อันนี้ลองคิดกันให้ดีๆ นะครับ ตัวอย่างผมคิดว่าทุกคนคงจะหาได้ หรือไม่ก็ลองถามตัวเองดูก็ได้ครับ
     บางทีหลาย ๆ คนตอนนี้อาจจะกำลังผลัดเซลล์ผิวอยู่ก็ได้ ผมขอแสดงความยินดีด้วยกับการเกิดใหม่ครับ 
     "แต่ไม่รู้เมื่อไรเซลล์ผิวของผมมันถึงจะเปลี่ยนไปซะที…หรือว่ามันอาจจะกำลังเปลี่ยนอยู่โดยที่ผมไม่รู้ตัว."
เฮ้อ…คงต้องขอคุยกันผ่านตัวหนังสืออีกครั้งหนึ่งกับตัวเอง  เผอิญช่วงหลายวันมานี้ผมรู้สึกเหงาจริง ๆ ก็เลยต้องมานั่งคุยกะตัวเองถ้าใครอยากมาคุยแลกเปลี่ยนก็เอาละครับ ผมจะได้รู้ว่าผมไม่ได้เหงาคนเดียว  
       ความเหงาคนเรานี่ก็แปลกนะครับ มีนิด ๆ หน่อย ๆ มันก็เจ็บ ๆ คัน ๆ ดี เข้าทำนองสุขอมทุกข์ หรือเปรียบไปเหมือนได้กินสะเดาน้ำปลาหวานอะไรอย่างนั้น 
       คือ มันมีทั้ง ขม ๆ หวาน ๆ ผสมกัน
       ความสนิทสนมกับผู้คนไม่อาจทำลายความเหงาได้  ถึงได้ก็แค่แผล็บเดียว
       การไม่รู้สถานตนเองนั่นแหละครับ คือความเหงาที่รุนแรงที่สุด
 
       ใครที่ไปรักใครอย่างหัวปักหัวปำ  ต่อให้อยู่ในกล่มเพื่อนที่เอะอะอย่างไรก็เถิด เผลอเมื่อไร ความเหงาก็เข้ามาอยู่ในเรือนใจตลอดเวลา
       ก็มันไม่รู้นี่ครับว่าตัวเองอยู่ตรงไหน  ในสภาพใด เขาจะรักเราไหม เราเป็นคนรักเขาแล้วรึยัง นี่แหละครับ คือ ความเหงา
       ไม่เพียงแต่เรื่องความรักเท่านั้นที่ทำให้คนเราเหงา ในองค์กรต่างๆ ในสังคม หากเราไม่รู้ตัวเองอยู่ตรงไหนของสังคม  มันก็เหงาเอาการนะครับ
       การรู้จักตัวเอง และยอมรับตัวเอง คือยา รักษาความเหงาขนานดีครับ  ไม่มีขายเสียด้วย ไอ้ยาขนานนี้ ต้องปรุงกันเองแล้วละครับ.
     
       ขอขอบคุณพี่จิก ประภาส กับความคิดดี ๆ
       เป็นไงครับ  หายเหงากันบ้างยัง? 
ผมชอบดูผีเสื้อบินเท่า ๆ กับชอบดูแมงมุมดักเหยื่อ และเช่นเดียวกัน ในวัยเด็กทุกครั้งที่ผมวิ่งไล่จับผีเสื้อ มันจะยิ่งบินหนีจากเราไป  ยิ่งพยายามวิ่งไล่มากเท่าไหร่  เราก้ยิ่งผิดหวังไปเรื่อย ๆแต่เมื่อใดก็ตามที่เรานั่งลงเงียบ ๆ นิ่งทั้งกริยา และนิ่งทั้งหัวใจผีเสื้อแสนสวยจะบินมาอยู่รอบ ๆ ตัวเราเสมอ 
"ความสุขก็เป็นอย่างนั้น"